Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for เมษายน, 2008

หลังจากที่ซือเจ๊เคยเขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสุสานโบราณไว้ ที่นี่ แบบคร่าวๆจากนั้นก็ปล่อยทิ้งร้างไว้นานโดยที่นานๆจะเข้าไปทำการ update ข้อมูลสักครั้งทั้งเขียนเล่าเรื่องส่วนตัวและรูปถ่ายส่วนตัว สุสานแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นในเดือนเมษายนเมื่อสองปีที่ผ่านมาเนื่องจากซือเจ๊เริ่มเรียนปริญญาโทจึงอยากเขียนเล่าเรื่องราว อารมณ์และความรู้สึกตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในระว่างที่กำลังศึกษาอยู่เก็บไว้อ่านเมื่อตอนเรียนจบ และตั้งใจไว้ว่าถ้าเรียนจบแล้วจะกลับมาติดตามผลและประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตการเรียนปริญญาโท ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ได้รู้จักใครบ้างในช่วงเวลานี้ ที่สำคัญที่สุดก่อนเรียนกับหลังเรียนความรู้สึก ความคิด มุมมองและโลกทัศน์เพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร มาถึงตอนนี้ก็เขียนเล่าเรื่องราวไว้ได้เยอะทีเดียว คิดไปคิดมาก็ลำบากไม่น้อย กว่าจะฝ่าฟันมาได้ถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าทำไมมันมีอะไรเกิดขึ้นได้มากมายขนาดนี้ แต่ละเรื่อง ลุ้นระทึก ตื่นเต้น ท้อแท้ เสียใจ สุขใจ หลากหลายอารมณ์ครบทุกรสชาดของชีวิตจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวด้วยภาพถ่าย ดูวิวัฒนาการของหน้าตาตัวเองตอนเครียดที่สุด โทรมที่สุด ตอนที่สอบเสร็จ ก่อนสอบ หลังสอบ ก่อนเรียนหลังเรียน มีให้ดูหมด หรือแม้แต่การบอกเล่าเรื่องราวด้วยตัวหนังสือผ่าน blog ก็ตามหลายๆคนที่ตามอ่านก็บอกว่าหลากรสจริงๆซือเจ๊นี้เรียกได้ว่าโหด มัน ฮา ที่สุดแล้ว 😛 เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะมีคนเข้ามาดูเยอะขนาดนี้เข้าใจว่าคงมีแต่เพื่อนๆที่สนิทกันเข้ามาดูโดยคลิกผ่าน msn เข้ามาจึงไม่มีการกำหนดสิทธิ์ใดๆไว้ และอนุญาตให้ทุกคนเข้าดูได้หมด แต่มาพักหลังๆเริ่มมีคนค้นข้อมูลด้วย Key Word ต่างๆเข้ามาเจอ blog ซือเจ๊เยอะมากขึ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการค้นหาข้อมูลด้วยชื่อเพลงที่ซือเจ๊ชอบและเขียนเล่าถึงเอาไว้ใน Blog และหนักสุดเริ่มมีการค้นด้วยรูป Icon สัญลักษณ์ของซือเจ๊ ,นามแฝง,เพื่อตามล่าดูข้อมูลส่วนตัวว่าเป็นใครมาจากไหนแฮ่ะๆอันนี้อ่ะแปลกเพราะไม่เข้าใจว่าเขาจะค้นไปทำไมเริ่มงง หลังจากที่ตามดูอยู่ประมาณ 2 เดือนเล่นคลิกทุก blog ดูรูปทุกอัลบั้ม ซือเจ๊เลยเริ่มปอดแหกซะอย่างนั้นแหล่ะจากที่ไม่เคยกลัวและคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาใครๆก็โพสรูปโพสเล่าเรื่องราวส่วนตัวกันเยอะแยะคงไม่เป็นไร เลยไม่ได้คิดอะไรมากแต่ตอนนี้ยอมรับว่าเริ่มคิด ล่าสุดมีคนค้นด้วย key word หนึ่งแล้วไปเจอรูปสุดหวงของซือเจ๊ซึ่งถือว่าเป็นบล๊อกฮ๊อตเนื่องจากมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆมาคอมเม้นกันเยอะที่สุด ซึ่งบล๊อกนั้นจะมีภาพประกอบอยู่ด้วยมันเป็นภาพที่ไม่อยากให้ใครดูแล้วเขิน อิอิ ก็เลยคิดว่าไม่ได้แล้วขอปิด Blog ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนสักระยะหนึ่ง หากพร้อมเมื่อไหร่จะเปิดให้เข้าชมอีกครั้ง ช่วงนี้สามารถติดตามอ่านข้อมูลของซือเจ๊ได้ที่Blogนี้ไปก่อนแล้วกันนะคะ   ต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย เนื่องจากครบเวลา หรือเรียกง่ายๆว่าสุสานโบราณได้เดินทางมาถึงจุดอวสานและสมควรแก่เวลาของมันแล้ว …  😛

Read Full Post »

ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาบุญญาติธรรมทุกๆคนด้วยนะคะ หลายๆคนคงได้รับ “ถุงบุญ” ของที่ระลึกจากการไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ไปครอบครองเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นของฝากจากซือเจ๊ ซึ่งคัดสรรค์ และเลือกแล้ว บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ได้ทุกคนนะคะ เนื่องจากซือเจ๊จะซื้อมาฝากเฉพาะคนที่ฝักใฝ่ในทางนี้เท่านั้นคนที่ไม่มีใจด้านนี้ก็แห้วไปตามระเบียบ ส่วนคนที่ฝักใฝ่แต่ยังไม่ได้รับ เนื่องจากซือเจ๊ใจดีเผลอแจกคนอื่นไปซะก่อนก็รอรอบสองแล้วกันนะสั่งให้เรียบร้อยแล้วคาดว่าหลังวันที่ 5 พฤษภาคม นี้ได้รับอย่างแน่นอน ใครที่อยากได้รีบแจ้งความจำนงมาได้คะ  (ใจดีไหม..?ช่วงนาทีทองรีบๆเลยนะ) 😛

สุขกาย สุขใจ หน้าตาอิ่มบุญ ศีลจับดีแท้ๆ..ต้องขอบอกว่าของเค้าดีจริงๆคะซือเจ๊แนะนำ ได้เกิดมาเป็น “คน” ทั้งทีครั้งหนึ่งในชีวิตลองหาโอกาสเข้าไปให้ได้สักครั้งก่อนตายนะ เดินเข้าไปดีๆนี่แหล่ะ เข้าไปให้มันรู้ด้วยตัวเองนี่แหล่ะอย่าให้ใครหลอกได้ อย่าเชื่อใครง่ายๆไปลองด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้เขาหามเข้าไปเป็นดีที่สุด แล้วท่านจะรู้ได้ด้วยตัวของท่านเองว่าสิ่งที่ได้รับนั้น มันคุ้มค่ากับการเสียเวลาและการตัดสินใจครั้งนี้หรือไม่  ยิ่งเข้าตั้งแต่เนิ่นๆยิ่งดีจะได้ไม่เสียดายตอนแก่ เพราะเห็นคนแก่ๆหลายๆคนชอบบ่นให้ได้ยินอยู่เป็นนิจว่า เสียดายจริงๆรู้แบบนี้เข้าวัดตั้งแต่สาวๆหนุ่มๆแล้ว เห็นลูกหลานเข้าวัดปฏิบัติธรรมกันตั้งแต่สาวๆมีเวลาให้สร้างบุญสร้างกุศลอีกนานโขเลย ร่างกายก็อำนวยไม่มีปัญหา ปวดแข้ง ปวดขา ให้เห็น เข้ามาตอนแก่ส่วนใหญ่จะเดินจงกรมลำบาก พอเดินลำบากเวลานั่งสมาธิก็มักจะทำได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่ได้ทำ
ใครที่มีชีวิตมาจนถึงป่านนี้ แล้วยังไม่เคยมีโอกาสเดินจงกรม นั่งสมาธิ ถือศีลจริงๆจังๆแบบเคร่งครัด ตื่นแต่เช้าตรู่ ทำวัตรเช้า วัตรเย็น ให้เวลากับตัวเองเต็มที่ อดทนกับความยากลำบาก ทำในสิ่งที่ฝืนจิตใจตัวเองแบบไม่เคยทำมาก่อน และมองเรื่องนี้ว่า “ไร้สาระ” ไม่จำเป็นกับชีวิตของท่าน ซือเจ๊ก็อยากให้คนฉลาดอย่างท่าน ลองเข้าไปดูให้รู้กับตัวเองสักหน ลองหาเวลาให้ตัวเองสักครั้งเอาสัก 7 วันนะถ้า 2-3 วันเกรงจะไม่ได้ผลเพราะร่างกายกำลังปรับได้ แต่ก็ต้องหยุดปฏิบัติเสียแล้วน่าเสียดาย ขอเป็น 7 วันนี้เหมาะสมที่สุดแล้วไม่ถือว่ามาก ถ้าได้ปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่จะติดใจอยากอยู่ต่อกัน ถ้าจะไปในฐานะมือใหม่หัดเดิน ก็ขอแนะนำให้เข้าร่วมแบบโครงการน่าจะดีกว่า เพราะจะได้รับการฝึกสอนจากพระอาจารย์และวิทยากรผู้รู้โดยแท้จริง ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย จะได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องด้วย

อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆคนก็คงงง ว่าอะไรจะโฆษณาชวนเชื่อและเชื้อเชิญกันขนาดนั้น แล้วตัวเองไปมาแล้วได้อะไรมาบ้าง ทำไมไม่เห็นเล่าให้ฟังสักที ก็บอกกันตรงนี้ว่าอยากจะเล่ามากๆแต่โดยปกติแล้ว เค้าจะไม่ค่อยเล่ากันนะคะ เพราะเล่าไปก็เปล่าประโยชน์ อย่างที่บอกนั้นแหล่ะว่าควรเข้าไปรู้ด้วยตัวของตัวเองจะดีกว่า การปฏิบัติธรรม สามารถปฏิบัติได้ทุกคนก็จริง แต่ละคนจะได้ผลไม่เหมือนกัน แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้ในพระธรรมชัดเจนแล้วว่า

สันทิฏฐิโก [เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ, พึงเห็นได้ด้วยตนเอง]
   อะกาลิโก [เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ , และให้ผลได้ , ไม่จำกัดกาล]
   เอหิปัสสิโก [เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด]
   โอปะนะยิโก [เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว]
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ [เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน] “

แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่รู้สึกประทับใจมากๆในการไปปฏิบัติธรรมครั้งนี้ คือ ได้เข้าใจหลักธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า และที่สำคัญที่สุดได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทำให้รู้สึกเลื่อมใสและศัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จากเมื่อก่อนคิดว่า มันดูไม่มีที่มาที่ไป นับถือถามพ่อแม่ตามคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจหลักธรรมคำสอนโดยแท้จริงเท่าไหร่ ไม่รู้วิธีปฏิบัติตัวในแบบอื่นๆนอกเหนือจากที่เคยรู้ๆมา ที่ผู้อื่นเขาก็รู้มาแบบเดียวกันหมด แต่ตอนนี้รู้สึกว่ารู้และเข้าใจมากขึ้น รวมทั้งรู้สึกหวงแหน และอยากรักษาให้อยู่ไปตราบนานเท่านาน และชอบคำพูดประโยคหนึ่งของพระอาจารย์มากๆ ที่บอกว่า

 “ความรู้ในทางโลกใครๆก็เรียนได้เรียนให้สูงแค่ไหนก็เรียนได้ ปริญญาตรี ปริญญาโท หรือปริญญเอก เพราะมันมีตำรามีตัวหนังสือให้เรียนให้อ่านได้ แต่ความรู้ทางธรรม เป็นความรู้ที่ไม่มีตัวอักษร ต้องเรียนด้วยจิต อ่านด้วยจิตเท่านั้น  เรียนจบสูงๆถามว่าทุกวันนี้ยังมีทุกข์อยู่ไหม แล้วถ้ามีทุกข์แก้ได้หรือไม่ พระพุทธเจ้าก่อนตัดสินใจออกบวช เรียนรู้ศาสตร์ที่กษัตริย์ควรรู้จากอาจารย์ที่เก่งๆทั้งหมด 18 ศาสตร์ แต่ก็มาค้นพบว่า ความรู้ที่ได้มานั้น ไม่ได้ช่วยให้พระองค์มีปัญญาและพ้นทุกข์ได้เลยแม้แต่น้อย… ”
 
ใครที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้  ที่นี่ ปีหน้าถ้ามีโอกาสซือเจ๊ก็คงจะไปร่วมโครงการนี้อีก มีใครสนใจจะไปสร้างบุญด้วยกันก็เชิญได้ ไว้เจอกันที่ขอนแก่นนะ 😛

update website ของศูนย์ปฏิบัติธรรมเวฬุวัน จ.ขอนแก่นเยี่ยมชมได้ที่นี่  http://www.dhammaforever.com/main/

++++++++++++++++

ดูภาพประกอบการเข้าปฏิบัติธรรมครั้งนี้ คลิกที่นี่

เล่าเรื่องก่อนเข้าปฏิบัติธรรมอ่านได้ที่ Blog สุดท้ายก่อนเข้าสู่..”ร่มกาสาวพัตร”

สนใจเข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรมประจำเดือนเมษายน 2552 ดูกำหนดการได้ที่ การเข้าวัดปฏิบัตรธรรมไม่ไปไม่รู้!!

Read Full Post »