กลับมาได้หลายวันแล้ว สำหรับการเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ถือเป็นกิจกรรมที่ต้องทำในทุกๆปีแต่ยังไม่ได้อัพเดท ข้อมูลให้ได้อ่านกัน เนื่องจากซือเจ๊มีความนร๊ก รออยู่เบื้องหน้า จึงต้องรีบสะสางให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ผ่านไป 4 วันพึ่งจัดเก็บและทำความสะอาดห้องเสร็จ จริงๆอยากถ่ายภาพมาให้ดูกันว่ามันนรกแค่ไหน แต่อย่าเลยเดี๋ยวขายไม่ออก เชื่อว่าภาพคงไม่ผ่านกบว. เป็นแน่แท้ ประกอบกับเกรงใจท่านผู้ชมเป็นอย่างมาก เอาเป็นว่าวันนี้ทำความนรกให้กลายเป็นสวรรค์เรียบร้อยแล้ว จึงถือโอกาสนี้มาเล่าบรรยากาศในแต่ละวันให้ฟังกันอย่างละเอียด แต่เอ๊ะ.!!..พักนี้มีหลายๆคนบ่นว่า ซือเจ๊เขียน blog ยาวอ่านไม่ไหว เอาเป็นว่าซือเจ๊รับฟังและ Entry นี้จะพยายามเล่าให้กระชับก็แล้วกันนะ ไม่รู้จะสั้นได้แค่ไหน แต่ตั้งใจจะเขียนยาวหล่ะเพราะไม่อยากจะแยกเป็น 2 ตอน รับฟังแต่ไม่ปฏิบัติตาม (กรรมของคนบ่น ฮ่าๆ) 😀
ต้องบอกว่าผ่านไปได้ด้วยดี สำหรับการทัวน์ปฏิบัติธรรมกับซือเจ๊ที่เวฬุวันขอนแก่นครั้งนี้ และแล้วลูกทัวน์ของเจ๊ก็รอดกันทุกคน ฮ่าๆแอบปลื้มเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่คณะลูกทัวน์มีความอดทนมากพอที่จะอยู่ให้ครบตามกำหนดเวลา โดยไม่มีใครบ่นให้ได้ยิน (แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปบ่นที่ไหนหรือเปล่านะ) ซือเจ๊ไม่แน่ใจว่าคณะลูกทัวน์ของซือเจ๊รู้สึกอย่างไรบ้างกับการเข้าร่วมปฏิบัติธรรมที่ยาวนานขนาดนี้ แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่ได้มีโอกาสได้ไปสัมผัสบรรยากาศจริงด้วยตัวเองสักครั้ง ได้แต่หวังว่าคงจะได้อะไรกลับมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตตัวเองบ้างนะ
3 เม.ย. : ออกเดินทางด้วยรถ First Class ที่ศูนย์บริการนครชัยแอร์ ทั้งที่พึ่งต้นเดือนแต่คนเยอะมากรถติดอีกต่างหาก ซือเจ๊กับเพื่อนต้องซึ่งมอเตอร์ไซต์เพื่อมาให้ทันเวลา เมื่อคณะลูกทัวน์มาพร้อมหน้ากัน ก็ออกเดินทางจากกรุงเทพตอนเที่ยงคืนกว่าๆ การเดินทางสะดวกสบายและราบรื่นตลอดเส้นทาง แรกๆก็เม้าท์กันกระจายเพราะตื่นเต้นกับลูกเล่นของรถหรูคันนี้ สักพักก็หลับปุ๋ยกันทุกคน นี่ละน๊าวัยกำลังกินกำลังนอน
4 เม.ย. : ราวๆตี 5 ครึ่งก็ถึงขอนแก่นโดยสวัสดิภาพ คณะลูกทัวน์วัยกำลังกินกำลังนอนของเจ๊ ก็แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย พอตื่นก็หิวซะงั้นแหล่ะ (ใครไม่รู้ก่อนนอนก็กินไปเยอะแล้ว ตื่นมายังจะหิวอีก) จากนั้นพี่สาวเจ๊ก็มารับคณะลูกทัวน์ไปพักผ่อนตามอัธยาศัยที่บ้าน มีบรุษหนุ่มนายหนึ่ง ยังสามารถนอนหลับต่อได้อีก แถมหลับสนิทซะไม่กล้าปลุกเลย(ใครก็ไม่รู้อิอิ) ส่วนซือเจ๊ก็พาเพื่อนเดินดูรอบๆบ้าน เพราะเป็นครั้งแรกที่เพื่อนที่ทำงานมาเยี่ยมที่บ้าน ถือเป็นเพื่อนกลุ่มแรกที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านเจ๊นะเนียะ (อภิสิทธิ์ชนเจงๆ) เมื่อได้เวลา ก็อาบน้ำ กินข้าว แล้วก็เปลี่ยนรถเพื่อบรรทุกสัมภารก มุ่งหน้าสู่เวฬุวันสถาน 😛
พอมาถึงเวฬุวันก็เตรียมการเรื่องเช่าชุด น้ำดื่ม และที่พักให้เรียบร้อย แล้วก็เดินทางไปลงทะเบียนเพื่อรายงานตัวว่ามาถึงแล้ว (แต่ว่าผ่านไป 3 วันก็ยังรายงานตัวไม่เสร็จเพราะคนเยอะมาก..แอบแคือง!) หลังจากส่ง นช.(นักโทษชาย) เอ้ยไม่ใช่ ผู้ปฏิบัติธรรมชายเข้าที่พักแล้ว (ยังสามารถนอนต่อได้อีกเชื่อเขาเลย) ซือเจ๊กับคณะลูกทัวน์ที่เป็นหญิงก็กลับเข้าที่พักเพื่อรอร่วมกิจกรรมต่อไป ผ่านไปไม่นาน ก็มีลูกทัวน์อีก 2 คนตามมาสมทบอีก ซือเจ๊ก็จัดลูกทีมนางหนึ่งไป Support และให้ทำตาม Step เดิม จนถึงเวลาเย็นๆก็เข้าร่วมทำวัตรเย็น และก็ทำพิธีสมาทานกรรมฐานและรับศีล 8 จาก นักโทษชายก็จะกลายเป็น “เทพบุตร” จากนักโทษหญิงก็จะกลายเป็น “เทพธิดา” เพราะทุกคนต่างอยู่ในชุดขาวบริสุทธิ์ ถือศีล 8 และเป็นที่รู้แก่ใจกันเป็นอย่างดี ว่าจากนี้ไป “ห้ามเยี่ยมห้ามประกัน”
5-7 เม.ย : ถือเป็นช่วง 3 วันอันตราย ห้ามเข้าใกล้ และห้ามถามว่าอยากกลับไหม เพราะอาจได้รับคำตอบว่า “อยาก” ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงที่ซือเจ๊จะหลอนมาก และไม่อยากเข้าใกล้คณะลูกทัวน์สักเท่าไหร่ ห่างได้ห่าง โดยเฉพาะคนที่มีแววว่าจะอยู่ไม่ทน เลี่ยงได้ต้องเลี่ยง หลบได้ต้องหลบ เอาไว้วันที่ 4 ค่อยคุยกันเราฮ่าๆ 😛
ช่วงแรกๆของการอยู่ที่นี่ หลังจากที่ได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติธรรมขั้นพื้นฐาน และได้สวดมนต์ทำวัตรเช้า และ เย็นเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันโดยปกติแล้ว ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนจะเริ่มมีผิวพรรณผุดผ่อง ศีลจับ หน้าตาจะเริ่มสดใสได้ที่แล้ว แต่ตรงกันข้ามคณะลูกทัวน์ของเจ๊แต่ละคน ต้องบอกว่า “ราหูอม” เพราะแต่ละคนดำเมี่ยมเลย เนื่องจากแดดเผาที่นั่นอากาศจะร้อนมากแดดแรง ซือเจ๊จึงมักเรียกที่นี่ว่า “ขอนแก่นอาริโซน่า” ประกอบกับถือศีล 8 ถ้าทำผิด 1 ข้อถือว่าผิดหมดต้องขอสมาทานศีลใหม่ จึงไม่มีใครกล้าปรุงแต่งตัวเองสักเท่าไหร่ แต่จะทนได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว อะไรก็ยอมได้แต่เรื่องนี้เจ๊ขอ หลังๆมาทุกคนต่างพร้อมใจเรียกครีมกันแดดว่ายากันแดด ทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้ จึงไม่ใช่เครื่องสำอางค์อีกต่อไป 😛 เพราะมันกลายเป็น “โอสถ” มีสรรพคุณทางยา และจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในช่วงเวลานี้เป็นอย่างมาก เช่น โรออน ก็กลายเป็นยาระงับกลิ่นกาย ที่ไม่ทาไม่ได้ไม่งั้นอาจตายหมู่ ครีมกันแดดก็ถือเป็นยาป้องกันผิวไหม้ แป้งก็เป็นยาป้องกันผดผื่น ลิปมัน ก็ป้องกันปากแตกไม่ทาไม่ได้เช่นกัน ฮ่าๆ เห็นไหมหล่ะว่ามันจำเป็นทั้งน๊าน และแล้วแม่เทพธิดาทั้งหลายก็รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด..ชีวิตที่เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงก็จะเป็นขาลงอย่างมีคุณค่าขึ้นมาอีกนิ๊ดหนึ่ง.. 😀
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ทรมานมากๆ ระบบขับถ่ายพังกันเป็นแถบ เนื่องจากพฤติกรรมการกิน และการนอนผิดเวลาร่างกายปรับไม่ทัน ต้องพึ่งยาถ่ายเท่านั้น ขี้หดตดหายเป็นยังไง ได้รู้กันก็คราวนี้หล่ะ ถึงช่วงเวลาพักทีไรไม่อยู่ในห้องน้ำ ก็นอนเอาแรง แต่มีบุรุษนายหนึ่ง เวลาชาวบ้านเขานอนก็นอนด้วย เวลาชาวบ้านเขาปฏิบัติ ก็ยังสามารถนอนได้อีก เนื่องจากเป็นคนที่มีความคืบหน้าในการปฏิบัติธรรมสูงกว่าคนอื่นๆ เพียงไม่กี่วันสามารถหายตัวได้..กรรมฐานแรงกล้าจริงๆ หันมาทีไรไม่เคยจะเจอ พ่อเทพบุตรเค้าสุดยอดจริงๆแบบนี้ต้องขอหวย…ส่วนลูกทัวน์คนอื่นๆก็อยู่ในสภาพอ่อนเพลียเนื่องจากอากาศร้อนนั่งสมาธิไปก็หลับไปก็มี เดินจงกรมอยู่ก็ยังหลับในได้อยู่ สุดยอดมาก กว่าจะปรับตัวได้แทบแย่
8-10 เม.ย : การปฏิบัติธรรมเริ่มเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากเพิ่มเวลาจาก 30 เป็น 45 แล้วก็ 1 ชั่วโมงตามลำดับเนื่องจากมีเวลาให้ปฏิบัติ 2 ชั่วโมงครึ่ง ผู้ปฏิบัติสามารถเลือกจัดสรรเวลาได้เอง ทั้งนี้มี option ให้เลือกด้วยว่าใครอยากแยกฏิบัติเป็น 2 บัลลังก์หรือจะทำเพียงบัลลังก์เดียวก็ตามสะดวก
สำหรับซือเจ๊และผองเพื่อน ผู้ช่ำชองหลังจากเครื่องร้อนจัดแล้ว เพราะวอร์มอัพมาหลายวัน ก็ขอปฏิบัติแบบ 1 บัลลังก์ยกเดียวจอดสนิทนั่ง 1 เดิน 1 ชั่วโมง สะใจจอร์จเจงๆ พอเสร็จก็เดินขาเป๋ กันเป็นแถบ ในการพักแต่ละครั้ง จะรู้สึกหิวกระหายน้ำมากๆ บางคนก็กินน้ำเปล่า บางคนก็ดื่มน้ำปานะเพื่อเพิ่มพลังงาน ชาวบ้านเขาก็กินกันวันละกล่อง สองกล่อง แต่ซือเจ๊นี่สิ ล่อไมโลวันละแพค ก็เราจะโตเราจะโตนี่นา อิอิ
ส่วนพวกที่ท่อนล่างพัง ขับถ่ายไม่สะดวกก็จะโด๊ปนมเปรี้ยวบ้าง ยาคูลล์บ้างหวังให้แลคโตบาซิลลัสช่วยชีวิต 1 ขวดมี 8 ล้านตัวแต่เจ๊ล่อไป 3ขวดไม่ออกทำไงดีละเนียะ ลำพังปกติก็ออกยากอยู่แล้ว นี่รวบรวมสรรพกำลังของแล๊คโตบาซิลลัสไปถึง 24 ล้านตัวยังไม่สามารถขับขี้เอ้ยขับเครื่อนวัตถุอันตรายออกมาได้อีก สุดท้ายก็ต้องพึ่งยาผีบอกของ พ่อเทพบุตรเค้า และแล้ว…ฟ้าก็เป็นใจ นั่งทำวัตรเย็นไม่เป็นสุขเลยพักเบรคทีต้องรีบลงมาขับวัตถุอันตรายออกจากร่างกายทันที พุ่งปี๊ดๆ ต้องขอบอกว่าของเขาดีจริงๆยาของพ่อเทพบุตรช่วยชีวิตคณะทัวน์ได้หลายคนทีเดียว
ในช่วงวันท้ายๆมีไฮน์ไลท์ ที่จัดว่าเป็นทีเด็ดที่ซือเจ๊ชอบมาก และเฝ้ารอเวลานี่มานาน นั่นคือการเดินจงกรมนอกสถานทีเนื่องจากอากาศดีสุดๆ ออกเดินตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น จนพระอาทิตย์ค่อยๆโผล่ขึ้นมา อากาศตอนเช้าก็เย็นสบาย แต่ว่าปีนี้พาไปเดินไกลไปหน่อย แถมทางเดินทรมานสุดๆเมื่อก่อนเดินแค่พื้นปูน พื้นหญ้า และพื้นดิน คราวนี้พาไปเดินบนเนินกรวด แม่เจ้าทรมานสุดๆ และแล้วซือเจ๊ก็ได้ค้นพบว่าที่แท้เจ๊มันก็ “ผู้ดี” ดีๆนี่เองเดินจงกรมบนก้อนกรวด เดินทีตะแคงเท้าเดิน ต้องเดินช้าๆเท้านี้แดงไปหมด หินกรวดบาดเท้า โอยเจ็บ เจ็บเจงๆ (สำออยสุดๆ)ด่านนี้เป็นด่านปราบเซียน เพราะทุกคนจะเดินแบบได้อารมณ์มากๆ ปกติแล้วจะเดินกันอย่างสุภาพและสำรวมอาการ เพราะต้องพิจารณาทุข์ขเวทนาที่เกิดขึ้นไปด้วย ต้องกำหนดไปด้วย แต่ด่านนี้นึกว่า อุลังอุตังเดิน ฮ่าๆท่าเดินแต่ละคนสุดยอดจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ซือเจ๊อยากสำแดงเดชให้โลกได้ประจักษ์เพราะอยากใช้หน้าเดินจงกรมแทนเท้า แล้วเราจะได้รู้กันว่า ระหว่างหน้ากับเท้าอันไหนด้านกว่ากัน (แล้วความสวยจะช่วยหนู)
หลังจากผ่านด่านทรหดมาได้ ก็มาถึงด่านสวงสวรรค์นั่นคือ ลานโพธิ์ ที่แสนสงบร่มเย็นและได้อารมณ์แห่งธรรมะสุดๆ แต่เสียดายด่านนี้ซือเจ๊ตะบะแตกอีกตามเคย เนื่องจากทุกคนต้องนั่งสมาธิกัน ซือเจ๊ก็มองหาที่เหมาะๆเพื่อนั่งสมาธิเพราะด่านนี้เจ๊ตั้งใจมาก แต่คณะลูกทัวน์เจ้ากรรม ที่นั่งมันก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ มันจะมานั่งเบียดเจ๊ทำไมฟร่ะเนียะ นั่งเฉยๆไม่ว่า เขากำลังได้อารมณ์แห่งธรรม ทันใดนั้นก็มีเสียงไม่พึงประสงค์ที่ฟังแล้วละม้ายคล้ายเสียงตดที่ดังมาก มาจากคนข้างๆ ในสภาพที่เงียบสงบ พอได้ยินเท่านั้นแหล่ะ เอาแล้วงานเข้าเจ๊แล้ว เจ๊ก็พยายามข่มอารมณ์ท่องยุบหนอ พองหนอ กำหนดอยู่นาน ข่มยังไงก็ข่มไม่ลง หลุดขำออกมาเสียงดังกระจายเท่านั้นแหล่ะสมาธิกระเจิง ทุกคนที่นั่งข้างๆก็ฮากันหมด โอยอายก็อาย คนเค้าจะหาว่าทีมเจ๊ไม่ตั้งใจปฏิบัติ แล้วใครมันจะไปทนได้หล่ะเนียะมาปล่อยให้ได้ยินกันซึ่งๆหน้าแบบนี้เนียะ หลุดกันทั้งแกงค์เลยวันนั้น แถมพอตอนมาปฏิบัติช่วงสายต่อ มันยังติดอารมณ์นั้นมาจะหลุดขำอีกหลายรอบเลย นึกแล้วยังขำไม่หายเลย แต่เจ้าตัวเขาก็มาบอกตอนหลังนะว่าไม่ใช่เสียงตด มันเป็นเสียงท้องร้อง จะเชื่อมันดีไหมเรา… คราวหลังไปนั่งไกลๆเลยนะโยม..ไม่ไหวสมาธิหายหมด!
11 เม.ย : วันนี้ตื่นมาทำวัตรเช้า แล้วก็ลาศีลแต่เช้า เก็บข้าวข้อง ทำความสะอาดที่พัก และบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ แล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน น่าแปลกใจที่ปีนี้ นึกว่าฝนจะตก และจะมีหลายๆฤดูในหนึ่งวันเหมือนปีที่แล้ว แต่กลับมีแต่แดดร้อนทั้งวัน ตอนกลางคืนก็อากาศไม่เย็นเท่าไหร่ กลายเป็นว่าปีนี้เตรียมผ้าห่มไปเก้อ ปีที่แล้วหนาวแทบแย่ ปีนี้เลยกะพกผ้าห่มไปแก้แค้นเต็มที่ ปรากฏว่าไม่ได้ใช้ พอช่วงสายๆ หลังจากไปส่งลูกทีมขึ้นรถ เตรียมเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว ช่วงบ่ายๆของวันนั้น กลับมีฝนตกหนัก และตั้งแต่วันที่ 11 เป็นต้นมาฝนก็ตกทุกวัน ไม่มีค่อยมีแสงแดด เท่าไหร่ ส่วนใหญ่อากาศจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนทุกวัน จนถึงวันที่ 15 เม.ย ทำให้ซือเจ๊เริ่มแปลกใจว่า ทำไมตอนคณะลูกทัวน์เจ๊อยู่มันไม่ตกหว่า แต่พอพวกนี้ไปพ้นจังหวัดฝนมาจากไหนตกเอาๆ มันต้องมีอะไรแน่ๆน่าคิดนะเนียะ อิอิ
เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ซือเจ๊ก็ได้มีโอกาสสอบถามความรู้สึกและความคิดเห็นของลูกทีม ก็พบว่ามีทั้งที่เกิดความศัทธาอย่างแรงกล้า เข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น มีทั้งเกิดชอบการสวดมนต์ทำวัตรก็มี เพราะบทสวดที่นี่จะแปลเป็นไทยให้ด้วย เพื่อให้เข้าใจในเนื้อหาที่สวดด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าสวดไปวันๆไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร ซึ้งอันนี้ซือเจ๊ก็เห็นด้วยเพราะตัวเองก็ชอบ ได้ฟังทีไรก็รู้สึกดี ดีใจที่ได้มีโอกาสทำวัตรเช้าและเย็นในทุกๆวันที่อยู่ที่นั้น
ทุกคนต่างก็มีมุมมองและสิ่งที่ตัวเองได้รับแตกต่างกันไป เพราะส่วนใหญ่จะเคยผ่านการปฏิบัติธรรมมาแล้ว จึงไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะต่างมาเอาอารมณ์จะได้รักษาอารมณ์ตัวเองได้ ถ้าปล่อยไว้นานมันไม่กระตือรือล้นที่จะทำ ต้องมารับการกระตุ้นทุกปี ซือเจ๊เชื่อว่าการมาปฏิบัติธรรมครั้งนี้คงไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน เชื่อว่าทุกคนคงได้อะไรกลับไปบ้างไม่มากก็น้อย เพราะคงหาโอกาสที่จะได้อยู่กับตัวเอง และได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เรียกว่า “ความสงบ” แบบนี้ได้ยากยังไงก็ขออนุโมทนาบุญกับคณะลูกทัวน์ทุกคน หวังว่าจะยังคงรักษาอารมณ์แห่งธรรมะ เอาไว้ให้ได้นานที่สุด ถ้าปีหน้ามีโอกาสดีๆแบบนี้อีกก็เชิญนะ ซือเจ๊ยินดีต้อนรับเสมอแต่ขอให้มา อย่าทิ้งพระกรรมฐาน ปีนี้อาจจะไม่ได้อะไรมากเพราะไปกันเยอะ นิ่งได้ไม่นาน แถมยังไม่คุ้นชินกับสถานที่ปีหน้ารู้และชินแล้ว ขอให้ตั้งใจกว่านี้ คราวนี้ต่างคนต่างอยู่ห้ามคุยกันนะแล้วพบกันใหม่ 😛
ปล..ถึงคนบ่น สั้นพอไหม? อิอิ 😛
Awesome. I amaze you and your friends who had pass the test. You’ve learn “พิจารณาทุข์ขเวทนา”, “สมาธิ” and a lot more. We normally won’t know it if we’re facing it.
“อนุโมทนาบุญ” for you and your friends.
อย่างน้อยเราก็บุญถึงใช่มะ ที่รอดมาได้ 555 ประสบการณ์ครั้งนี้ประทับใจมาก กินน้อย นอนน้อย อยู่กับตัวเอง สอบอารมณ์ ทุกวัน
สามวันแรกปวดขาแทบหลุด วันที่สามปวดไปหมดนึกว่าจะเป็นไข้ไปแล้ว บุญแรง หรือกรรมหนัก(จัด) เหอๆ
ซือเจ๊ลืมแมงวันเพื่อนรัก ไปแล้วอะป่าว ได้ข่าวว่าเจอเจ้าแมงวันกันทั่วหน้า ขัดขวางจนเดินจงกรมอยู่ก็จะล้ม แม้กระทั่งนั่งสมาธิก็ไม่หลับเพราะแมงวัน มันทำสมาธิกระเจิดกระเจิง 5555
@lek ว๊าวพี่เล็ก มาเร็วเคมเร็วเจงๆ เมื่อก่อนก็ไม่เค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกคะไอ้เรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่เคยสนใจเลย พอมาปฏิบัติธรรมถึงรู้ว่า ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น มันคือ ครูผู้ยิ่งใหญ่ ฮ๋าๆวันไหนทุกขเวทนาไม่เกิดนี่ คิดถึงตะหงิดๆ 😛
@donal03 เพื่อนบุญเยอะสุดๆอ่ะ เออจะว่าไปก็เซร้งแมลงวันอยู่นะ มันตอมได้ทุกคนอ่ะ ตอมเท้าคนอื่นแล้วมาตอมปาก ตอมตา อีกคนอี๋แหยงๆ หรือว่าผู้ปฏิบัติธรรมเน่ากันหมดแล้วหว่า แมลงวันมันถึงมา… 😛
ดีใจกะตัวเราเองด้วย ที่มีบุญได้ไปสถานที่แบบนั้น
รู้สึกสงบ สบายใจดี เสียอย่างเดียว
ไม่น่าไปขันแตกเล้ย อับอายขายหน้าจริง ๆ
@Jum ฮ่าๆ มันคงไม่ใช่ความผิดหรอก ใครจะทนได้หว่า นี่ข่มแล้วน๊าอิอิ
ยังไงตอนนี้ ก็ได้เป็นดาวเด่นทำหน้าที่เป็นดาราจำเป็นขึ้นปก ซีดี ของศุนย์ไปเรียบร้อยแล้วหล่ะ อิอิดีใจด้วย อายจังหว่ะโอยๆอย่าบอกใครนะว่านั้นมันซือเจ๊ 😛
อนุโทธนาด้วยครับ แต่ผมว่าครีมกัดแดดมันไม่น่าจะเป็นโอสถนะ
คราวหน้าแนะนำดินสอพอง โอสถชัวร์ 😀
@pk ฮ่าๆเจ๊ไม่ใช่ใข่เค็มนะ จะให้พอกดินสอพองเลยหรือนี่.. แต่ว่าเจ๊เอาอะไรก็ล่าย ที่มันกันแดดได้เพราะเจ๊แพ้แสงคริๆ.. 😛
ปล.ต้นเดือนหน้ามี Trip สั้นๆไปไหว้พระที่อัมพวัน น้อง pk สนใจไปด้วยไหมคะ ติดต่อได้นะอิอิ แต่ว่ามีที่นั่งจำกัดถ้ารถเต็มก็อดนะฮ่าๆต้องรีบแจ้งเจ๊อะ… 😀
มีโอกาส และมุ่งมั่นมาก-มาก
มาถึงขนาดนี้แล้ว เอาให้ได้นะหมวย
อีกไม่นาน อีกไม่นาน
… อนุโมทนาบุญ
: )
@ขุนอรรถ อิอิขอบคุณมากคะอาตั๋วเฮีย…ไปครั้งนี้ออกแนวเฮฮาไปหน่อยคะ
เนื่องจากสมาชิกเยอะ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจคุยกันนะคะ มันมีเหตุ เพราะซือเจ๊มีห่วง เนื่องจากเป็นห่วงความเป็นอยู่ของลูกทีมเกรงจะไม่ชินสถานที่ แฮ๋ะๆ (ข้ออ้างชัดๆ) 😛
โอ้โห! อยู่ตั้งหลายวัน ซือเจ๊เนี่ยสุดยอดจริงๆ กระผมขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ มีโอกาสอยากไปถือศีลกินเจ แบบนั้นบ้างเหมือนกัน … ผมเคยไปวัดนาคปรก กทม. เมื่อปลายปี 50 ตอนนั้นไปอยู่ 4 วัน 4 คืน.. เขาไม่ให้พูดให้คุยกับใคร ห้ามโทรศัพท์ ก็รู้สึกอึดอัดบ้างตอนแรกๆ โดยเฉพาะช่วงเดินจงกรม ทรมานมากๆ แต่พอเข้าวันที่ 3 เริ่มชอบ วันที่ 4 อยากปฏิบัติต่อ… แต่ต้องกลับด้วยภารกิจ ก็รู้สึกว่าตั้งแต่เกิดเป็นผู้เป็นคนมา เพิ่งจะได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ก็คราวนั้น 🙂
@anontanan เรื่องแบบนี้พูดลำบากคะ “สุดจะบรรยาย” ต้องไปลองเอง
หลังๆมารู้สึกว่ามีคนค้นข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมเข้ามาเยอะเหมือนกันคะ น่ายินดี แต่ในทางตรงกันข้าม ก็น่าเป็นห่วง เพราะคำที่ใช้คนหานั้นออกแนวโลภบ้าง งมงายบ้าง คาดหวังอะไรบางอย่างบ้าง ไม่เข้าใจในหลักธรรมบ้าง มาตามกระแสก็มี อันนี้ก็พูดลำบากอีก เช่น ปฏิบัติธรรมแก้กรรม,บวชชีแก้บน, ปฏิบัติธรรมวัดไหนดี,บูชากระเทียมแล้วรวย,แขวนแปะฉ่ายแก้เคล็ด บางที่ก็ค้นด้วยเบอร์โทรอาจารย์เอ๋แสกนกรรมบ้าง จนดูงมงายตามกระแส น่าเป็นห่วงจริงๆ.. เพราะไม่มีเหตุที่จะต้องขวานขวายตามรู้เรื่องราวใดๆในอดีต จะรู็ไปเพื่ออะไร ทำไมไม่อยู่กับปัจจบันงงจริงๆ..